วิเคราะห์เกมไทยลีก นัดที่ 11 ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ฟอร์มบู่ไม่เลิก พ่าย การท่าเรือเอฟซี คาถิ่น 0-1

เกมไทยลีกคู่วันเสาร์ ที่สนามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่ตั้งแต่กลับมาเตะหลังรีสตาร์ทชนะไปเพียงนัดเดียว หลังจากนั้นจนถึงบัดนี้ยังไม่ชนะใคร 5 เกมติดต่อกันแล้ว ส่วนการท่าเรือ ผู้มาเยือน หากไม่มีปัญหาไฟดับก็ไม่มีอะไรจะฉุดฟอร์มอันร้อนแรงของลูกทีมโค้ชอู๊ดได้
ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด แพ้ การท่าเรือเอฟซี คาถิ่น

สำหรับ บียู มาในระบบ 4-2-1-3 ซึ่งมีความน่าสนใจตรงที่ ดันทริสตองโดขึ้นมาเป็นปีกกึ่งกองหน้า ส่วนการท่าเรือ มาในระบบ 4-2-3-1 โดยเริ่มเกมมา เจ้าบ้านมีเกมรับที่รัดกุมมากขึ้น จนทีมเยือนต้องใช้ทักษะความสามารถเฉพาะตัวเลี้ยงหลบเข้าไปหรืออาศัยจังหวะยิงไกล เพื่อให้มีจังหวะจบสกอร์บ้าง เพราะเจาะไม่เข้า ถึงขณะนี้เริ่มจะเห็นได้แล้วว่าการที่ บียู ไม่มีกองหน้าต่างชาติระดับเกรดเอในทีม เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมมีผลงานดรอปลง

ซึ่งการเปลี่ยนโค้ชทำให้ทีมมีเกมรับที่รัดกุมขึ้น แต่เกมรุกยังจัดว่าอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เพราะขึ้นบอลแต่ทางทริสตองโด เพียงอย่างเดียวแนวรุกตัวไทยของ การท่าเรือ ใช้โอกาสเปลื้อง ทั้งบดินทร์ และ ธนาสิทธิ์ มีบทบาทปีกกึ่งกองหน้า ทั้งสองมีจุดโดดเด่นที่การเลี้ยงบอล แต่ถ้าเป็นเรื่องการยิงประตูกลับเป็นจุดด้อยที่แก้ไม่ตก
ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ทั้งสองยังไม่สามารถเป็นยอดนักเตะระดับทีมชาติได้ จนประตูชัยที่การท่าเรือได้ ก็มาจากจังหวะฟุตบอล เริ่มจากซัวเรสยิ่งไปติด พีระพัฒน์ แล้วเข้าทาง ณัฐวุฒิ ซึ่งถือได้ว่า 3 แต้มที่ได้มามีโชคเล็กน้อย

ท้ายเกมจังหวะจุดโทษที่ ทริสตองโด โดนทำฟาว์ล ถ้า VAR ไม่ขัดข้อง เชื่อว่ามีโอกาสเสมอกัน และจะเป็นสกอร์ที่ยุติธรรม เพราะเกมนี้ทั้งสองฝ่ายทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันทั้งคู่ สำหรับจังหวะนี้ เริ่มทำให้เห็นถึงปัญหาที่ผู้ตัดสินพึ่งพา VAR มากเกินไป จนไม่สามารถวินิจฉัยด้วยสายตาตัวเองได้ ทั้ง ๆ ที่จังหวะนั้นเกิดต่อหน้าและฟาว์ลค่อนข้างชัดเจน เกมนี้ทำให้ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด
ต้องกลับไปทบทวนแล้วว่า จะหาโค้ชใหม่ หรือจะเสริมทัพนักเตะต่างชาติ ส่วน การท่าเรือเอฟซี แม้ว่ารูปเกมจะไม่สวย แต่ก็ยังคงเอาตัวรอดมาได้ จากนี้ต้องประคองตัวอีก 4 นัด เพื่อเป้าหมายโควต้าถ้วยเอเชีย